สหรัฐอเมริกาได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำของโลกประชาธิปไตย มีความพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศที่ด้อยกว่า เพราะหลังสงครามเย็นเป็นต้นมา สหรัฐเมริกาไม่ต้องโอบอุ้มประเทศพันธมิตร เพื่อรับมือกับโลกสังคมนิยม สหรัฐอเมริกาจึงเริ่มให้ความสนใจในการเปิดการค้าเสรี ทั้งด้านการค้า การเงิน การลงทุน และเศรษฐกิจมากขึ้น จึงมีการใช้นโยบายขยายความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจเพื่อการเจรจาหารือในระดับต่างๆ ร่วมสร้างความเป็นระเบียบและมั่นคงในภูมิภาคต่างๆ โดยเน้นการค้า และการลงทุน ส่งเสริมให้มีการเข้าร่วมเป็นสมาชิกในองค์การระหว่างประเทศ เน้นการใช้สิ่งจูงใจทั้งด้านการทูตและเศรษฐกิจ เพื่อให้มีความรู้สึกในการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม เพื่อป้องกันการเผชิญหน้ากัน และเน้นความร่วมมือผ่านองค์การระหว่างประเทศและเจ้าหน้าที่ของแต่ละประเทศ
แต่หลังจากเหตุการณ์ ในวันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๔ โดยกลุ่มก่อการร้ายได้จี้บังคับเครื่องบินพุ่งชนตึกเวิร์ลเทรด เซ็นเตอร์ และอาคารกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกาเริ่มดำเนินนโยบายต่างประเทศ ในด้านการป้องกันการคุกคามของขบวนการก่อการร้ายสากลและภัยคุกคามที่มาจากอาวุธที่มีอำนาจการทำลายล้างสูง เช่น อาวุธนิวเคลียร์ อาวุธเคมี และอาวุธเชื้อโรค จึงเป็นผลให้สหรัฐอเมริกาใช้ทุกมาตรการในการป้องกันภัยดังกล่าว และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับมิตรประเทศและเพื่อนบ้านเพื่อช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ

ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สหรัฐอเมริกามีพันธมิตรสำคัญ คือ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย เช่นเดียวกับที่มีญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย เป็นมหามิตรในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนียเพื่อร่วมมือกันในด้านต่างๆ ยุทธศาสตร์สำคัญที่สหรัฐอเมริกาดำเนินการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ การคานอำนาจของจีนในภูมิภาคนี้ พยายามร่วมลงทุนด้านธุรกิจการค้ามากขึ้น และร่วมกันต่อต้านการก่อการร้ายสากลที่ถือว่าเป็นภัยคุกคามโลก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น