วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

กระบวนการก่อการร้าย




คำว่า การก่อการร้าย (Terrorism) เป็นคำที่ยังไม่มีการจำกัดความในกฎหมายอาญาที่มีผลผูกมัดตามกฎหมายและได้รับการยอมรับอย่างสากล การจำกัดความโดยทั่วไปของการก่อการร้ายนั้นหมายถึงเพียงพฤติการณ์รุนแรงซึ่งมีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความกลัว กระทำการเพื่อจุดประสงค์ทางศาสนา การเมืองหรืออุดมการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นการกระทำที่จงใจหรือไม่ใส่ใจต่อความปลอดภัยของผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง (พลเรือน) และกระทำโดยองค์กรที่ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐใด ๆ


"การก่อการร้าย" เป็นข้อกล่าวหาทางการเมืองและอารมณ์ ซึ่งยิ่งเป็นการทำให้การให้คำจำกัดความที่แม่นยำยิ่งยากขึ้นไปอีก การศึกษาได้พบการจำกัดความ "การก่อการร้าย" มากกว่า 100 แบบ แนวคิดของการก่อการร้ายนั้นอาจเป็นหัวข้อโต้เถียงด้วยตัวของมันเอง เนื่องจากมันถูกใช้อย่างบ่อยครั้งโดยหน่วยงานของรัฐเพื่อลดความชอบธรรมของศัตรูการเมืองหรืออื่น ๆและมีศักยภาพที่จะเพิ่มความชอบธรรมให้แก่รัฐในการใช้กำลังกับผู้ต่อต้าน ซึ่งการใช้กำลังเช่นนี้อาจถูกอธิบายว่าเป็นการสร้าง "ความกลัว" ขึ้นโดยศัตรูการเมืองนั้นด้วย

การก่อการร้ายเป็นการกระทำโดยองค์กรการเมืองอย่างกว้างขวางเพื่อสนับสนุนเป้าหมายของตนเอง ซึ่งมีการดำเนินการทั้งพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา กลุ่มชาตินิยม กลุ่มศาสนา กลุ่มปฏิวัติ และรัฐบาลซึ่งปกครอง ลักษณะทั่วไปคือการใช้ความรุนแรงอย่างขาดการพิจารณาต่อผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเพื่อจุดประสงค์ในการเพิ่มความเป็นที่รู้จักให้กับกลุ่ม แนวคิด หรือบุคคล

ความหมายของคำว่าการก่อการร้ายสากล
        ในการประชุมสมัชชาองค์การสหประชาชาติ เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๑๕ คณะกรรมการร่างกฎหมายองค์การสหประชาชาติกำหนดว่า การก่อการร้ายสากลเป็นการกระทำที่
        ๑) มุ่งกระทำต่อบุคคลซึ่งอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น ผู้นำของรัฐ หรือนักการทูต
        ๒) เป็นสลัดอากาศกระทำต่อเครื่องบินโดยสารพลเรือน
        ๓) ส่งผู้ก่อการร้ายไปปฏิบัติการนอกประเทศ
        ๔) ใช้ชีวิตมนุษย์ผู้บริสุทธิ์เป็นเครื่องมือของการก่อการร้าย
        รัฐบาลไทยกำหนดนิยามคำว่าการก่อการร้ายสากลไว้ในนโยบายการแก้ปัญหาการก่อการร้ายสากล ว่า เป็นการปฏิบัติการคุกคาม หรือใช้ความรุนแรงของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ที่มุ่งหวังผลตามเงื่อนไขข้อเรียกร้องทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งส่วนใหญ่จะปฏิบัติการล่วงล้ำเขตแดนหรือเกี่ยวพันกับชาติอื่น การกระทำนั้นอาจเป็นไปโดยเอกเทศปราศจากการสนับสนุนจากรัฐใด หรือมีรัฐใดรัฐหนึ่งสนับสนุนรู้เห็นก็ได้ เมื่อเกิดขึ้นย่อมมีผลกระทบโดยตรงต่อผลประโยชน์ของชาติ พันธกรณีระหว่างประเทศ นโยบายของชาติด้านการเมือง การป้องกันประเทศ เศรษฐกิจ สังคม จิตวิทยา ชื่อเสียง และเกียรติภูมิของชาติ
ผลกระทบของการก่อการร้าย
1.ด้านการเมือง
การก่อการร้ายครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกาเมื่อ 11 กันยายน พ.. 2544 เป็นเครื่องหมายสำคัญที่เปลี่ยนแปลงยุคสมัยการเริ่มต้นศตวรรษที่ 21 ให้เข้าสู่ยุคของการก่อการร้ายและสงครามต่อต้านการก่อการร้าย เหตุวินาศกรรมที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซียเมื่อเดือนตุลาคม พ.. 2545 และเหตุระเบิดขบวนรถไฟที่สเปนเมื่อเดือนมีนาคม พ.. 2547 ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน เป็นสิ่งยืนยันว่าภัยคุกคามจากการก่อการร้ายในยุคใหม่มีความรุนแรงกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต ทุกประเทศสามารถตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายได้อย่างเท่าเทียมกัน นับตั้งแต่มีการพัฒนาทฤษฎีการใช้ความรุนแรงเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม อันเป็นรากฐานของการก่อการร้ายในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา โดยเฉพาะช่วงทศวรรษปี 1960-1970 กลุ่มก่อการร้ายส่วนใหญ่ล้วนมีวัตถุประสงค์หรือแรงจูงใจในทางโลก (Secular) ไม่ว่าเป็นด้านชาตินิยมหรือเชื้อชาตินิยม (Ethno-Nationalist Terrorism) อาทิ กองทัพสาธารณรัฐไอร์แลนด์ (IRA) กลุ่มกบฏชาวบาสก์ (ETA) หรือเป็นจุดประสงค์ด้านอุดมการณ์ทางการเมือง (Ideological Terrorism) เช่น กองพลน้อยแดงอิตาลี (Red Brigades : RB) และกลุ่ม Baader Meinhoff ในเยอรมันตะวันตก กลุ่มดังกล่าวใช้ความรุนแรงเพื่อประกาศความเชื่อของตนเองให้สังคมรับรู้ เรียกร้องความสนใจและสร้างแรงสนับสนุนกดดันให้บรรลุเป้าหมายใช้ความรุนแรงอย่างจำกัด อาทิ ปล้นยึดยานพาหนะ จับตัวประกันหรือลักพาตัว มีการกำหนดข้อเรียกร้องและประกาศความรับผิดชอบเสมอ โดยระวังไม่ให้ความรุนแรงเกินขอบเขตเพราะเกรงผลเสียต่อภาพลักษณ์ ผลกระทบทางการเมือง และการสนับสนุนจากสังคม
อย่างไรก็ตาม ลักษณะดังกล่าวได้เกิดความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปลาย ค.ศ.1980 ถึงต้นค.ศ.1990 เป็นต้นมา จำนวนผู้เสียชีวิตจากการก่อการร้ายเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ การปฏิบัติการในแต่ละครั้งมุ่งทำลายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับการเกิดกระแสการขยายตัวของกลุ่มก่อการร้ายทางศาสนา (Religious Terrorism) ถึงแม้การก่อการร้ายทางศาสนาไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะศาสนาอิสลามเท่านั้น กลุ่มหัวรุนแรงในศาสนาคริสต์ ยิว หรือลัทธิความเชื่อต่างๆ ต่างเคยก่อเหตุการณ์ร้ายที่มีเป้าหมายให้เกิดความสูญเสียจำนวนมากมาแล้วทั้งสิ้น
2.ด้านเศรษฐกิจ
การปฏิบัติการของกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่จี้บังคับเครื่องบินโดยสารของสหรัฐฯ พุ่งชนอาคารแฝดสูง 110 ชั้น ของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในมหานครนิวยอร์ก อันเป็นสัญลักษณ์สำคัญทางเศรษฐกิจและการค้าของสหรัฐฯ และอาคารกระทรวงกลาโหมหรือตึกเพนตากอนที่เป็นสัญลักษณ์ทางการทหารของสหรัฐฯ เมื่อ 11 กันยายน 2544 จนพังทลายยับเยิน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายเป็นจำนวนมาก ยังไม่นับความเสียหายทางเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาลและผลกระทบทางด้านสังคมจิตวิทยาต่อประชาชนสหรัฐฯ ที่ต้องตกอยู่ในความหวาดกลัวและรู้สึกถึงความไม่มั่นคงปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้สหรัฐฯ ประกาศสงครามกับการก่อการร้ายโดยพุ่งเป้าไปที่นายโอซามา บินลาเดน ผู้นำของเครือข่ายอัลเคด้า และผู้นำกลุ่มตาลิบันในประเทศอัฟกานิสถานที่ให้แหล่งพักพิงแก่ขบวนการก่อการร้าย โดยสหรัฐฯ ได้ทุ่มเททรัพยากรและดำเนินการทุกด้าน ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และการทหาร อย่างเป็นขั้นตอน
3.ด้านสังคม
หลังสงครามเย็น การที่สหรัฐฯ มุ่งความสนใจปัญหาในยุโรป ตะวันออกกลาง เกาหลีเหนือ และการพัฒนาความสัมพันธ์กับจีน ประกอบการกับการบรรลุข้อตกลงในกัมพูชา (Agreement on a Comprehensive Political Settlement of the Cambodia Conflict ต.ค. 1991) จึงไม่ได้ให้ความสนใจของสหรัฐฯ ต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในด้านความมั่นคงเหมือนในสมัยสงครามเย็น  ในช่วงต้น ความเปลี่ยนแปลงจึงได้ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อไทย กล่าวคือไทยลดความจำเป็นในการพึ่งพามหาอำนาจชาติใด ชาติหนึ่งในการปกป้องรักษาความมั่นคง จึงมีอิสระในการดำเนินนโยบายต่างประเทศมากขึ้น
-
อย่างไรก็ตาม ต่อมา สภาพการณ์กลับส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทยกับสหรัฐฯ ในเชิงลบ โดยเหตุการณ์ที่มักจะนำมาเป็นตัวอย่างก็คือ การที่สหรัฐฯ มีบทบาทน้อยกว่าที่ควรจะเป็นในการให้ความช่วยเหลือประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติการเงิน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น