วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

นโยบายความร่วมมือและบทบาทของประเทศไทยในเวทีการเมืองโลก

                ประเทศไทยมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเมืองการปกครองให้มีความเหมาะสมเพื่อดำรงความเป็นเอกราชมาช้านาน โดยเฉพาะเมื่อต้องพบกับภัยทางการเมืองของลัทธิล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกอย่างรุนแรงในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงเลือกวิธีการที่จะปรับปรุงการปกครองให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยเริ่มที่การจัดระเบียบการบริหารราชการแผ่นดินเป็น ๒ ส่วนคือ ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยส่วนกลางจัดตั้งเป็น ๑๒ กระทรวงในการบริหารราชการ ในส่วนภูมิภาคมีการแบ่งเป็นมณฑล จังหวัด และอำเภอขึ้น นอกจากนี้ยังทรงตั้งองคมนตรีสภาขึ้นเพื่อฝึกฝนระบบรัฐสภาและประกาศใช้พระราชบัญญัตสุขาภิบาล ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า เทศบาล
                พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสืบทอดพระราชกรณียกิจในเวลาต่อมา ทรงให้เสรีภาพอย่างกว้างขวาง เช่น เสรีภาพของนักหนังสือพิมพ์ รวมทั้งทรงตั้ง เมืองดุสิตธานีขึ้น เพื่อใช้ฝึกการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีความเด่นชัดมากยิ่งขึ้น
                พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งปณิธานที่จะจัดการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยยึดหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย ๕ ประการคือ
                ๑,  ระบอบประชาธิปไตยหรืออำนาจอธิปไตยของปวงชน
                ๒,  หลักเสรีภาพ
                ๓,  หลักความเสมอภาค
                ๔,  หลักนิติธรรม
                ๕,  รัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง
                แต่คณะราษฏรได้ก่อการปฎิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตยเสียก่อนเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕
                หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นต้นมา ภัยอันตรายจากการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกลดลง เพราะสังคมโลกได้ร่วมมือกันในการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติขึ้นในวันที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เพื่อทำหน้าที่ดูแลความมั่นคงและเสรีภาพระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยก็ได้ร่วมเป็นสมาชิกด้วยเช่นกัน ทำให้ได้รับการดูแลเพื่อให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศขึ้น ในทำนองเดียวกันไทยก็มีบทบาทในการช่วยเหลือประชาคมโลกด้วย เช่นในกรณีส่งทหารเข้าร่วมรบกับกองกำลังสหประชาชาติในสงครามเกาหลี ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๓ – ๒๔๙๘ ในสงครามเวียดนามนั้นได้เริ่มปฎิบัติการรบในลักษณะหน่วยบินลำเลียง ชื่อ หน่วยบินวิกตอรี่ (Victory) ใน พ.ศ. ๒๕๐๗ และใน พ.ศ. ๒๕๐๘ ได้ร่วมปฎิบัติการในสมรภูมิรบพร้อมกับ ๗ ประเทศพันธมิตร คือ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สเปน ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ และสาธารณรัฐประชาชนจีน ใน พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้ส่งกองกำลังรักษาสันติภาพไปช่วยฟื้นฟูและพัฒนาประเทศติมอร์ตะวันออก หลังจากได้รับเอกราชจากประเทศอินโดนีเซีย และใน พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้ส่งทหารเข้าไปร่วมฟื้นฟูประเทศอิรักภายหลังสงครามอิรักในการโค่นอำนาจของประธานาธิบดีซัดดัมฮุสเซน (Saddam Hussein) สิ้นสุดลง
                บทบาทของไทยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น คือ การวางตัวเป็นกลาง โดยทำหน้าที่เป็นผู้ประสานรอยร้าวและความขัดแย้งระหว่างประเทศได้อย่างดีตลอดมา เช่น ใน พ.ศ. ๒๕๓๑ กรณีหมู่เกาะสแปรตลีย์ (Spratly) ซึ่งเป็นหมู่เกาะปะการังในทะเลจีนใต้ ประกอบด้วยเกาะประมาณ ๑๐๐ เกาะ มีความสำคัญคือเป็นแหล่งปลาชุกชุม แหล่งน้ำมันปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเวียดนามและสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งพยายามที่จะเข้าครอบครองดินแดนนี้เพื่อประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ นอกจากนี้ไทยได้ให้ความร่วมมือกับประเทศในกลุ่มอาเซียนในการดำเนินการตามมติของคณะรัฐมนตรีความมั่นคงฯในฐานะสมาชิกองค์การสหประชาชาติที่ดีเพื่อต่อต้านการก่อการร้ายสากล และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับนานาประเทศในอันที่จะก่อให้เกิดความสงบสุขขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น